10 พ.ย. 2551
วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Monday 10 November 2008
เช้านี้พวกเราตื่นขึ้นมาพร้อมกับเสียงที่เข้ามาอย่างกะทันหันแต่เช้าของแพทย์คีโม เพราะว่าแพทย์คีโมท่านนี้รักษาอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ด้วย ซึ่งแพทย์คีโมเข้าตรวจทั้งสองโรงพยาบาลเอกชน ท่านเข้ามาตรวจที่นี่ประมาณเจ็ดโมงกว่า ซึ่งเราเลยเอามาแซวเล่นกับน้องๆ กันว่า แพทย์คีโมคนนี้แยกร่างได้แฮะ เพราะว่าสามารถตรวจคนไข้ทั้งสองโรงพยาบาลได้ในช่วงเวลาเช้าตรู่ถึงเจ็ดโมงเช้าได้พร้อมกัน
หลังจากนั้นพวกเราก็ตื่นเต้นกับเรื่องน้ำที่ปอดของน้องกัน ไม่รู้ว่าน้องจะต้องโดนเจาะหรือเปล่า ช่วงสิบเอ็ดโมงกว่าแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติก็ขึ้นมาเยี่ยมไข้ และบอกว่าตกลงจะเจาะปอดให้น้องในวันนี้ แต่ต้องเข้าไปที่ห้องอัลตร้าซาวนด์เช็คเกี่ยวกับขนาดของน้ำก่อนว่าเจาะได้หรือไม่
เพราะว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่น้องจะเจาะปอด พวกเราจึงตื่นเต้นกัน เราก็ไม่รู้ว่ามันอันตรายมากน้อยเพียงใด เมื่อบุรุษพยาบาลมารับน้องลงไปที่ห้องอัลตร้าซาวนด์ พยาบาลบอกให้เรารอที่ด้านนอก เราจึงเลือกเก้าอี้ที่เห็นทุกอย่างในห้องอัลตร้าซาวนด์มากที่สุดและนั่งสวดมนต์ภาวนาให้ทุกอย่างราบรื่น เมื่อแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติเข้าไปซักพัก และรอทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วโมง แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติก็ออกมาจากห้องนั้น และเราก็รีบวิ่งโถเข้าไปถามถึงอาการน้อง ซึ่งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติก็ชี้ให้เราดูน้ำที่เจาะออกมาประมาณขวดลิตรหนึ่งขวด แต่ก็เห็นมีถุงใหญ่ๆ อีกหนึ่งถุงด้วย สีน้ำที่ออกมาก็เป็นสีแดงเข้มๆ ถ้าจะพูดไปก็คล้ายๆ กับน้ำที่น้องเคยผ่าเยื่อหุ้มหัวใจครั้งนั้น ซึ่งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติก็หันมาอธิบายว่าเจาะน้ำออกมาได้ลิตรกว่า และสันนิษฐานเบื้องต้นน้ำพวกนี้น่าจะมาจากตัวโรค (มะเร็ง) เดี๋ยวจะต้องส่งตรวจดูอีกครั้ง ระหว่างที่เรากำลังคุยกับแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติอยู่ พยาบาลก็เตรียมความพร้อมที่จะพาน้องกลับไปที่ห้องพักฟื้น เรารีบวิ่งเข้าไปดูน้องที่ห้องและแอบเหลือบดูอุปกรณ์ในการเจาะของน้อง หลอดไซริ้งค์ที่ใช้ดูดนั้นใหญ่มากๆ น่าจะบอกว่ากระบอกโตๆ เลย เราเลยถามน้องว่าเจ็บหรือไม่ น้องได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ และกลับขึ้นห้องพักฟื้นไปพร้อมกัน
น้องรู้สึกเจ็บจากการเจาะปอดบ้าง น้องเล่าให้ฟังว่าเจาะแล้วไปโดนตรงด้านหลังเล็กน้อย น้องจึงขอปิดตานอนพักสักครู่ ช่วงเย็นๆ น้องก็ตื่นขึ้นมาทานข้าวเย็น น้องบอกว่าน้องเริ่มรู้สึกเหนื่อยน้อยลง แต่ความจริงแล้วน้องเป็นคนป่วยที่ดูแทบไม่ออกเลยว่าป่วยหนักมากเพียงใด มีเพียงแต่น้องบอกว่าเหนื่อยง่ายแค่นั้นเอง เพราะช่วงเวลาที่น้องป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล น้องช่วยเหลือตัวเองตลอดเวลา น้องสามารถลุกขึ้นมาล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า แปรงฟันและดูแลความสะอาดตัวเองด้วยตัวเองตลอดเวลา หรือถ้าจะบอกง่ายๆ ก็คือ แขกที่มาเยี่ยมทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน้องดูดีมาก ทั้งสีหน้าและผิวพรรณ ส่วนใหญ่จะบอกว่าน้องดูไม่เหมือนคนป่วยทั่วไปเลย
เมื่อน้องทานข้าวเย็นไปก็เล่าให้เราฟังถึงขั้นตอนต่างๆ ในการเจาะ จริงๆ แล้วน้องเล่าให้เราฟังทุกอย่างและทุกครั้งแม้กระทั่งครั้งที่น้องเข้าไปผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจ น้องก็เล่าเหตุการณ์ทุกขั้นตอนที่ช่วงน้องยังไม่โดนยาสลบ น้องเล่าให้ฟังแบบละเอียดมากๆ ส่วนการเจาะครั้งนี้น้องก็เล่าให้ฟังว่าการเจาะนั้น ไม่ใช่เข้าไปเจาะเลย แพทย์ที่ห้องอัลตร้าซาวนด์ยืนยันก่อนว่ามีน้ำและจึงจะบอกตำแหน่งของการเจาะให้ จากนั้นแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติถึงจะเจาะเข้าไปและจะเจาะเข้าไปยังตำแหน่งที่แพทย์ที่ห้องอัลตร้าซาวนด์บอกเท่านั้น และช่วงที่ดูดน้ำออกนั้นเข็มไปโดนจุดหนึ่งที่ด้านใน จึงเป็นสาเหตุให้น้องปวดเล็กน้อย ซึ่งครั้งนี้น้องเจาะที่ด้านหลังผ่านกระดูกสันหลังเข้าไป
ช่วงเย็นที่ห้องพักของน้องก็จะมีทั้งญาติ เพื่อนฝูง และคนในครอบครัวมาเยี่ยมชวนคุย ชวนหัวเราะทุกๆ คืน ช่วงนี้ในสายตาของเราๆ คิดว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญเวลาหนึ่งของน้อง เพราะว่ากำลังใจที่ไม่เคยขาดสายทั้งเพื่อนฝูง ญาติมิตร และคนในครอบครัวที่มาเยี่ยมและมาทักทายทำให้น้องมีแรงจะสู้กับตัวโรคได้อย่างไม่ย่อท้อ ทั้งๆ ที่ทุกครั้งที่น้องจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลอย่างกะทันหัน เพื่อนๆ ของน้องต่างก็ต้องคอยโทรเช็คและรีบมาเยี่ยมกันทั่วหน้า ไม่ว่าน้องจะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลแห่งไหน ทุกๆ คนก็ตามไปให้กำลังใจทุกๆ ที่ และถ้าพักฟื้นที่บ้านทุกๆ คนก็มาเยี่ยมเยียนเหมือนเดิมและสม่ำเสมอตลอดมา
แสดงความคิดเห็น