12 พ.ย. 2551
วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Wednesday 12 November 2008
เช้านี้น่าจะบอกว่าแพทย์คีโมจู่โจมเข้ามาแต่เช้าเลย เพราะว่าแพทย์คีโมเข้ามาเยี่ยมตอนตีห้าสี่สิบห้านาที คนไข้ก็ยังง่วงๆ และคนเฝ้าไข้ก็ยังไม่มีอารมณ์อยากจะตั้งคำถามอะไรทั้งนั้น แพทย์คีโมเลยบอกว่าวันนี้ให้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่พรุ่งนี้ให้กลับมาเอกซเรย์ที่ปอดที่นี่ และวันศุกร์ให้เอาผลเอกซเรย์ไปให้แพทย์คีโมที่โรงพยาบาลรัฐ สรุปง่ายๆ ก็คือกลับไปแล้ว น้องก็ต้องออกมา เพื่อเดินทางไปโรงพยาบาลทุกๆ วันอยู่ดี แต่เพราะว่ามันเช้ามืดมาก พวกเราไม่อยากจะทำให้ตัวเองอารมณ์ไม่ดีแต่เช้า ก็เลยได้แต่รับฟังไปก่อน
ประมาณสิบโมงพนักงานขายของเครื่องออกซิเจนก็มาส่งเครื่อง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติขึ้นมาตรวจเยี่ยม เหมือนกับพยาบาลโทรไปแจ้งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติเกี่ยวกับพนักงานขาย เพราะแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติขึ้นมาช่วยเช็คด้วยว่าอุปกรณ์เสริมทุกตัวจะต้องครบถูกต้อง และให้พนักงานขายอธิบายวิธีใช้ให้อย่างละเอียดอีกครั้ง แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติบอกว่าวันนี้น้องกลับบ้านได้แล้ว และท่านอยากให้น้องได้พักผ่อนมากๆ และจะนัดให้เข้ามาพบอีกทีวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายนนี้ เพื่อติดตามดูปริมาณน้ำในปอดต่อ เราจึงรีบแจ้งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติไปว่า แพทย์คีโมนัดให้มาพรุ่งนี้วันที่ 13 พฤศจิกายนเพื่อเข้าไปเอกซเรย์ และวันที่ 14 ให้เข้าไปพบอีกครั้งที่โรงพยาบาลรัฐ เราเลยถามแพทย์ที่เป็นญาติว่า ถ้าน้องเอกซเรย์วันนี้ไปเลยได้หรือไม่ พรุ่งนี้น้องจะได้พักและวันที่ 14 จะได้ไปที่โรงพยาบาลรัฐและมาที่โรงพยาบาลเอกชนเพื่อพบแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติต่อเลย ซึ่งแพทย์ที่เป็นญาติก็นิ่งๆ และบอกว่าเดี๋ยวจะลองให้พยาบาลเลื่อนออกไปให้ หรืออาจจะให้มาเอกซเรย์ในวันที่ 14 พร้อมกันเลย แต่เราพอจะเดาได้ว่า แพทย์ที่เป็นญาติคงไม่เข้าใจเกี่ยวกับการนัดหมายของแพทย์คีโมว่าทำไมถึงนัดแบบนี้กับคนไข้ที่ควรจะได้รับการพักผ่อนมากๆ
และก่อนแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติจะกลับลงไป ยังหันมาแจ้งน้องว่า วันนี้น้องจะต้องให้รถโรงพยาบาลกลับไปส่งที่บ้าน เพราะน้องจะต้องมีเครื่องออกซิเจนช่วยหายใจระหว่างทางที่กลับบ้านด้วย พวกเรายิ่งประหลาดใจใหญ่ เพราะว่าน้องดูปกติมากๆ แล้ว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมไป
แต่พวกเราต้องยอมรับจริงๆ ว่าการที่แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติแนะนำให้น้องเช่าเครื่องออกซิเจนนั้นเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการเช่านั้นไม่ได้สูงนัก และพวกเราไม่ต้องเอาถังชั่วคราวที่ยืมมาจากโรงพยาบาลไปคอยเติมออกซิเจนเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะเสียเวลามากกว่า นอกจากนั้นน้องเคยอธิบายให้เราฟังไว้ว่า เครื่องออกซิเจนที่เป็นเครื่องแบบนี้นั้นดีกว่า เพราะที่ใช้เป็นถังออกซิเจนนั้นจะแสบจมูกมากๆ หลังจากที่ใช้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง ส่วนเรื่องการซื้อเครื่องออกซิเจนเลยนั้น ต้องขึ้นอยู่กับว่าคนไข้จะใช้ได้นานแค่ไหน และเครื่องที่น้องเช่านั้น แพทย์ที่เป็นญาติยังระบุอีกว่าน้องจะต้องใช้สเป็คเครื่องที่สามารถพ่นยาได้ด้วย
เมื่อปรึกษาคุณพ่อที่มาเยี่ยมแต่เช้าแล้ว น้องก็ไม่อยากนั่งรถโรงพยาบาลกลับบ้าน เพราะน้องรู้สึกว่าน้องไม่ได้ป่วยหนักขนาดนั้น ดังนั้นเราจึงต้องปรึกษาแพทย์ที่เป็นญาติอีกครั้ง และท่านก็อนุญาตตามที่น้องต้องการ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องยืมถังออกซิเจนของโรงพยาบาลกลับไปด้วย เผื่อเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นระหว่างทาง ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่และพยาบาลก็จัดการเรื่องยืมถังให้เรียบร้อย พวกเราจึงกลับบ้าน ซึ่งก่อนกลับพยาบาลก็รีบนำใบนัดของแพทย์คีโมและแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติมาให้ เราจึงแจ้งพยาบาลไปว่าช่วยเลื่อนวันนัดเอกซเรย์ปอดให้ด้วย เพราะพรุ่งนี้น้องจะได้พักผ่อน และวันที่ 14 จะเข้ามาเอกซเรย์และไปพบแพทย์ทั้งสองในวันเดียวกัน พยาบาลจึงบอกว่าเดี๋ยวจะแจ้งแพทย์คีโมให้
น้องมาถึงบ้านก็รู้สึกเหนื่อยๆ แล้ว แต่ที่น่าขำที่สุด คือ ยังไม่ทันที่จะถึงบ้านดี ถังออกซิเจนที่ยืมมาจากดรงพยาบาลก็ไม่มีออกซิเจนซะแล้ว ถ้าไม่ได้เช่าเครื่องออกซิเจนมา ก็แย่แน่ๆหล่ะ วันนี้น้องเริ่มเหนื่อยง่ายขึ้น เพราะว่าน้องไม่สามารถเดินขึ้นบันไดได้เหมือนที่เคยทำ ซึ่งเราเคยได้ยินมาตั้งแต่น้องป่วยใหม่ๆ แล้วว่าคนที่เป็นโรคนี้นั้นต้องคอยตามติดทุกระยะ เพราะว่าบางคนที่เป็นโรคมะเร็งแต่ไม่ได้ตายเพราะโรคมะเร็งก็มี เนื่องจากแขนขาไม่มีแรงและล้มลงไปจนทำให้บาดเจ็บ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุที่เราต้องคอยวิ่งตามดูน้องตลอดเวลา
แสดงความคิดเห็น