23 พ.ย. 2551 - แพทย์เดินมาบอกคนไข้ว่ามะเร็งขึ้นสมองแล้ว !!
วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Sunday 23 November 2008
วันที่น้องรู้สึกแย่ที่สุดตั้งแต่รู้ว่าเป็นมะเร็งคือวันนี้ วันที่แพทย์คีโมแสดงจรรยาบรรณของความเป็นแพทย์คีโมที่ชำนาญในด้านมะเร็งน้อยที่สุดคือวันนี้ แพทย์คีโมที่ไม่เคยจะรู้เลย ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรกับคนไข้โรคมะเร็ง ที่ไม่ควรจะมีอาการเครียด เนื่องจากจะส่งผลให้กับตัวโรค
เจ็ดโมงสี่สิบของวันนี้ จะเป็นวันที่เราไม่เคยลืมไปตลอดชีวิตของเรา แพทย์คีโมเปิดประตูเข้ามาและพูดได้อย่างสีหน้าปกติว่า “มะเร็งคุณขึ้นไปที่สมองแล้ว” หลังจากที่น้องได้ยินและแพทย์คีโมก็ยังอยู่ที่ห้อง น้องควบคุมสติแทบไม่อยู่ แพทย์คีโมยังไม่ยอมหยุดพูด “ผมจะนัดแพทย์ฉายแสงคนเดิมให้เข้ามาปรึกษาการรักษาต่อ” และหันกลับมาที่เราถามได้อย่างหน้าตาเฉย โดยที่ไม่ได้หันไปดูน้องเลยว่าน้ำตาซึมออกมามากเพียงใดแล้ว “พี่สาวมีคำถามจะถามอะไรเพิ่มเติมหรือไม่” วินาทีนั้น ช่วงเวลาที่เราอยู่กับน้องเพียง 2 คน แพทย์คีโมได้บอกข่าวร้ายที่พวกเรายังคงหาช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะบอกแก่น้องไปอย่างไม่ปรึกษากับญาติๆ แล้วยังจะเรียกเราออกไปคุยต่อข้างนอก โดยปล่อยให้น้องสาวอยู่คนเดียวเพียงลำพังในห้อง แม้ว่าเราจะมีคำถามในขณะนั้น แต่เราก็คงทำได้แต่เพียงตอบไปว่า “ไม่มีค่ะ” แพทย์คีโมเดินออกไปจากห้อง เราโดดไปนั่งที่เตียงของน้องทันที น้องร้องไห้ออกมาใหญ่โตแล้ว เรากำลังปลอบใจน้องอยู่ว่า ไม่ว่าอย่างไรมะเร็งจะไปถึงไหนก็ตาม พวกเราทุกคนจะอยู่เคียงข้างน้องและสนับสนุนการรักษาของน้องทุกอย่างอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องกังวลว่าโรคจะลามไปถึงไหน เราและทุกๆ คนก็จะไม่ถอดใจไปจากน้องเด็ดขาด
แต่แพทย์คีโมยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น แพทย์คีโมส่งพยาบาลเข้ามาที่ห้อง ในขณะที่น้องยังร้องไห้อยู่ เพื่อถามว่า “พี่สาวคนไข้มีคำถามอะไรอีกหรือไม่คะ อาจารย์อยากให้ออกไปหาตอนนี้” เราหันมาบอกพยาบาลไปว่า “ไม่มีคำถามอะไรแล้วค่ะ” แพทย์คีโมไม่เคยสังเกตอาการหรือปฏิกิริยาของคนไข้ว่ารู้สึกอย่างไร เราจะทิ้งน้องออกไปในช่วงที่น้องรู้สึกแย่ที่สุดได้อย่างไร น้องหันมาถามเราอีกว่า ทำไมเราถึงไม่มีคำถามกับแพทย์คีโมเรื่องที่ขึ้นสมองเลย เราจึงได้แต่บอกน้องไปว่า เราพอทราบมาบ้างแล้ว แต่ไม่อยากพูดเพื่อทำร้ายขวัญและกำลังใจของน้อง จึงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าแพทย์คีโมที่ควรจะรู้ว่าควรจะปฏิบัติอย่างไรกับคนไข้ กลับมาทำร้ายคนไข้ให้เครียด น้องสาวได้แต่ร้องไห้ไปนานถึงครึ่งวัน กว่าน้องจะทำใจได้ก็เกือบบ่ายแล้ว
ต่อมา แพทย์ฉายแสงขอให้พวกเราออกไปปรึกษากันที่นอกห้องพักฟื้นคนไข้ ซึ่งคนในครอบครัวและญาติๆ ต่างรวมตัวกันอยู่ที่ห้องของน้องแล้ว แพทย์ฉายแสงยืนยันตามเดิมว่า น้องควรจะต้องถูกฉายแสง โดยการฉายแสงแบบสองมิติที่จะสาดแสงไปให้ทั่ว ทั้งๆ ที่มีอยู่สองจุดๆละประมาณหนึ่งเซนติเมตรก็ตาม แพทย์ฉายแสงบอกจากประสบการณ์ว่าการสแกนที่สมองอาจจะเห็นแค่สองจุด แต่ที่จริงๆ แล้วอาจจะมีมากกว่าสองจุดก็ได้ หรือว่าอาจจะมีแค่สองจุดจริงๆ แต่เมื่อฉายตรงสองจุดนี้หายไปแล้ว แต่ก็อาจจะขึ้นมาอีกก็ได้
น้องชายจึงถามแพทย์ฉายแสงเกี่ยวกับการฉายแสงแบบสามมิติที่จะมีผลข้างเคียงน้อยลงไป น้องชายให้เหตุผลกับแพทย์ไปตรงๆ ว่าขณะนี้สุขภาพของน้องสาวอาจจะไม่ได้ดูแข็งแรงเหมือนครั้งแรกที่เคยไปฉายแสง ซึ่งการฉายแสงแบบสองมิติจะมีผลข้างเคียงมากเกินไป แพทย์ฉายแสงพยายามอธิบายให้ฟังว่า ถึงน้องสาวจะฉายแสงแบบสามมิติ ก็อาจจะมีลามขึ้นมาได้อีก ทางด้านน้องชายที่พอจะรู้ข้อมูลว่า การฉายแบบใหม่ที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอีกแห่งนั้นสามารถฉายเป็นจุดๆ ได้และขนาดที่จะฉายต้องไม่ใหญ่เกินไป ซึ่งขนาดของน้องสาวน่าจะทำได้ แพทย์ฉายแสงจึงบอกว่าถ้าจะฉายสามมิตินั้นสถานที่ ที่เคยไปฉายไม่มีเครื่องฉายสามมิติ แพทย์ฉายแสงจะเขียนจดหมายแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งอื่นแทน และน้องชายถามแพทย์ฉายแสงอีกครั้งว่าสองจุดนี้จะส่งผลอะไรให้กับร่างกายของน้อง แพทย์ฉายแสงบอกว่าน้องจะมีอาการที่ผิดปกติคือแขนขาอาจจะไม่มีแรงได้
เมื่อพวกเรากลับเข้าไปในห้องของน้องสาว น้องกังวลมากเกี่ยวกับเรื่องที่สมอง น้องสาวจึงถามอยู่หลายคำถามเรื่องรายละเอียดทั้งหมด ระหว่างที่เราคุยกันอยู่นั้น คุณพ่อเผอิญพบแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติที่ลิฟท์ และคุณพ่อถามแพทย์ทางปอดที่เป็นแพทย์ไปตรงๆ ว่าอาการของน้องเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติบอกคุณพ่อว่า น้องน่าจะเหลือเวลาอีกประมาณสองเดือน และคุณพ่อยังคงถามแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติว่าถ้าคุณพ่อจะพาน้องไปเที่ยวต่างประเทศอีกครั้งได้หรือไม่ เพราะน้องสาวมักจะพูดเสมอว่า ถ้าหายแล้วอยากจะไปเที่ยวด้วยกันทั้งครอบครัวเหมือนที่พวกเราเคยทำอีก ซึ่งแพทย์ทางปอดไม่แนะนำให้ทำเช่นนั้น
หลังจากนั้นคุณพ่อมาถึงห้องน้อง โดยที่น้องสาวเป็นคนพูดกับคุณพ่อว่า น้องไม่อยากคีโมและไม่อยากฉายแสงอีกแล้ว เพราะน้องรักษาตามวิธีนี้มาถึงเจ็ดเดือนกว่าแล้ว แต่โรคกลับมีแต่จะลุกลามมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีสัญญาณของการหายจากโรคร้ายได้เลย และน้องคิดว่าร่างกายน้องกลับทรุดโทรมลงจากผลข้างเคียงยาคีโมตัวนั้น ยาคีโมตัวนี้ น้องจึงอยากจะลองรักษาทางเลือกดูบ้าง วันนี้คุณพ่อต้องยอมตามที่น้องต้องการ แต่คุณพ่อไม่อยากปิดโอกาสในการรักษา คุณพ่ออยากให้พวกเราลองฟังการรักษาแบบสามมิติจากอีกโรงพยาบาลก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ซึ่งน้องสาวกังวลเช่นกันว่า สองจุดที่ขึ้นที่สมองของน้องจะมีผลอะไรกับร่างกายของน้องบ้าง
วันนั้นทุกคนเริ่มที่จะอารมณ์ดีขึ้น แต่น้องสาวกลับแอบเก็บเงียบเครียดเรื่องที่เมื่อเช้าแพทย์คีโมมาบอกว่าขึ้นที่สมองอยู่ดี ถึงอย่างไรก็ตามทุกคนในครอบครัวพอจะดูออกกัน ทุกคนยังคงแซวน้องเกี่ยวกับโปรตีนชั้นสูงถุงขาวๆ ที่แพทย์ให้มาใส่เส้นน้อง
วันนั้นทุกคนอยู่เป็นกำลังใจกันตลอดวันและจนเย็นๆ เพื่อนๆ น้องๆ มาสมทบเพิ่ม ทุกคนพยายามคุยเรื่องขำขันให้น้องไม่ต้องเครียด และจนเย็นๆ น้องจึงเริ่มพักผ่อน
คืนนี้เป็นคืนที่แปลก เรานั่งรอจนน้องสาวหลับและเราฝากน้องสาวอีกคนที่มาเฝ้าไข้คอยดูน้องในช่วงที่เราไปอาบน้ำ เมื่อเราอาบน้ำไปได้สักครู่เดียว เราได้ยินเสียงไอจนน่ากลัวของน้อง ซึ่งน้องไอแรงๆ และไออย่างต่อเนื่อง เราจึงรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาดูน้อง
เมื่อออกมาเราเห็นพยาบาลคนหนึ่งกำลังดูแลน้องอยู่ น้องสาวคงเรียกพยาบาลเข้ามา เพราะเห็นว่าเราไม่อยู่ พยาบาลคอยยืนดูน้องไอออกมา และพยาบาลหันมาบอกเราว่า “เดี๋ยวจะลองเรียกแพทย์เวรมาดูให้นะคะ” เราจึงพยักหน้ารับ เมื่อพยาบาลเห็นเราออกมาดูน้องแล้ว พยาบาลให้น้องนอนเอนเตียงขึ้นมาเหมือนท่านั่งและบอกว่าเดี๋ยวจะตามแพทย์มาให้ พวกเราสองคนพี่น้องเลยนั่งคุยและคอยแพทย์กัน
ประมาณครึ่งชั่วโมงแพทย์เวรเข้ามาตรวจเยี่ยมน้อง เมื่อแพทย์เวรมาถึง ท่านถามน้องว่าน้องเป็นโรคนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ และการรักษาเป็นอย่างไรบ้าง น้องก็ตอบแพทย์เวรไปตามปกติ แพทย์เวรถามน้องต่อว่า ถ้าน้องนั่งแบบนี้แล้ว หายใจได้และไม่ไอแล้วใช่หรือไม่ น้องพยักหน้ารับ เพราะพวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า ถ้าน้องนั่งน้องจะหายใจได้สะดวกกว่านอนราบลงไป เมื่อน้องพยักหน้ารับแพทย์เวรไปเช่นนั้น แพทย์เวรเลยหันมาสรุปให้น้องก่อนออกจากห้องว่า งั้นให้น้องนั่งหลับแบบนี้ไปก่อนในคืนนี้ และพรุ่งนี้จะให้แพทย์ท่านอื่นขึ้นมาตรวจเพิ่มเติม
หลังจากที่แพทย์เวรออกไป พวกเราสองพี่น้องได้แต่ขำกัน แพทย์เวรไม่ได้ช่วยให้น้องดีขึ้นเลย พวกเราเลยรู้สึกว่ารอกันตั้งครึ่งชั่วโมงและได้เรื่องขำขันแทน และเราจึงให้น้องนอนหลับพักผ่อน
ความคิดเห็น
ความรู้สึกคนเป็นญาติ
บางครั้งการที่หมอพูดบอกอาการของคนไข้ตรงเกินมันก็ไม่เป็นผลดีกับจิตใจของคนไข้โดยตรงเลยนะครับผมก็เคยเจอกับเหตการณ์แบบนี้เหมือนกันก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ต่อไปเพื่อคนที่เรารักและรักเราสู้ สู้
แสดงความคิดเห็น