24 พ.ย. 2551
วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Monday 24 November 2008
เช้านี้แพทย์คีโมเข้ามาเยี่ยมเวลาเช้าตรู่เหมือนเดิม และยังยืนยันเหมือนเดิมว่าน้องควรจะรับการฉายแสงให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้ควรจะฉายภายในวันสองวันนี้ พวกเราบอกแพทย์คีโมไปว่าถ้าน้องจะต้องฉายแสง ทางครอบครัวเลือกเป็นการฉายแบบสามมิติ แพทย์คีโมคงยืนยันว่า จะให้แพทย์ฉายแสงคนเดิมมาอธิบายอีกครั้ง และก่อนแพทย์คีโมออกจากห้องยังคงบอกว่าจะลองนัดแพทย์ทุกคนมาพร้อมๆ กันดู
สักครู่เดียวพยาบาลกลับมาที่ห้องบอกว่าแพทย์ฉายแสงเขียนจดหมายเกี่ยวกับน้องฝากให้ไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นแล้ว และทางพยาบาลได้โทรนัดแพทย์ฉายแสงแบบสามมิติที่โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอีกแห่งให้ประมาณบ่ายโมงของวันนี้ เช้านี้น้องไม่ได้ทานยาคีโมแล้ว
น้องเริ่มรู้สึกเครียดเล็กน้อยอีกครั้ง เราจึงต้องขอให้คุณแม่มาอยู่เป็นเพื่อนน้อง ส่วนน้องชายและเราไปปรึกษาแพทย์ฉายแสงที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งเกี่ยวกับเรื่องการฉายแสงของน้องสาว ที่สังเกตง่ายๆ จากอาการของน้องว่าน้องเครียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะว่าน้องจะคอยหันมามองเวลาอยู่เรื่อยๆ ว่าใกล้เวลานัดหรือยัง
น้องชายและเราไปถึงโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังอีกแห่งโดยที่รถไม่ติดเลย นับว่าเป็นโชคดีของพวกเรา นั่งรอสักครู่ใหญ่จนแพทย์ฉายแสงมาและให้พวกเราเข้าพบ ท่านดูฟิล์มเอกซเรย์และที่ผลการสแกนสมองอยู่พักใหญ่ จากนั้น ท่านจึงหันมาบอกพวกเราว่าท่านได้อ่านจดหมายจากแพทย์ฉายแสงอีกท่านแล้ว แพทย์ฉายแสงท่านนี้ไม่สามารถบอกได้ทันทีว่าน้องจะรับการฉายแสงได้ เพราะว่าวันนี้น้องยังไม่ได้มาพบด้วยตัวเอง ซึ่งการฉายแสงนั้นจะต้องพิจารณาในหลายๆ เรื่องไปพร้อมๆ กัน ไม่ใช่ว่าใครอยากจะฉายก็ฉายได้เลย แต่จะต้องดูความพร้อมของร่างกายก่อน และยังต้องดูว่าการฉายแสงนั้นจะทำให้คุณภาพชีวิตของคนไข้ถดถอยไปหรือไม่ ดังนั้นแพทย์ฉายแสงยังคงบอกว่าถึงแม้ว่าจะฉายที่สมองให้ แต่หลังจากนี้อาจจะเกิดขึ้นอีกก็ได้ และแพทย์บอกว่าทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับที่ปอดของน้อง ถ้าที่ปอดยังไม่ดีขึ้น ก็อาจจะมีการลุกลามได้อีก โดยสรุปแล้วแพทย์ฉายแสงบอกว่าพวกเราต้องพาน้องมาพบก่อน แล้วแพทย์ฉายแสงจะขอดูว่าน้องพร้อมที่จะรับการฉายแสงหรือไม่ แล้วถึงจะส่งเข้าประชุมที่บอร์ด ถึงจะได้ข้อสรุปว่าการฉายแสงนั้นจะทำได้ และสองจุดที่สมองของน้องนั้นจะทำให้น้องมีอาการชาที่แขนหรือขาบ้าง และการฉายแสงสองจุดนี้ของน้องนั้น ถ้าสรุปแล้วน้องเหมาะจะรับการฉายแสงจริงๆ แพทย์จะใช้เครื่องใหม่ล่าสุดทำให้น้อง โดยการที่ฉายเพียงวันเดียวก็เสร็จ และโดยรวมแล้วคือแพทย์ไม่ได้ให้การปฏิเสธการรักษาโดยตรง แต่ไม่ได้รับปากว่าจะรักษาให้ทันทีเช่นกัน
หลังจากออกมาจากห้องแพทย์ฉายแสง พวกเราพากันตรงกลับไปที่โรงพยาบาลที่น้องพักฟื้นอยู่ เมื่อมาถึงโรงพยาบาลเราอธิบายให้น้องฟังในลักษณะว่า แพทย์ฉายแสงทางนั้นต้องขอดูความพร้อมของน้องก่อน อย่างเช่นสภาพร่างกายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเราบอกน้องไปเพียงแค่นั้น เราไม่ได้บอกว่าแพทย์ไม่เห็นด้วยกับการฉายแสงน้องในเวลานี้
ในช่วงเวลาที่เฝ้าน้องทำให้เราคิดขึ้นมาได้ว่า น้องเคยบ่นอยู่ถึงสองครั้งว่า ตาของน้องมัว แต่พอกระพริบตาแล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม แต่ที่น้องบ่นบ่อยกว่าคือหูอื้อเวลาน้องดื่มน้ำมากๆ
เมื่อเรากลับมาถึง เราจึงไปขอให้พยาบาลช่วยแจ้งแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติว่าอยากตรวจเช็ค CEA ซึ่งผลออกมาว่าผล CEA ของน้องคือ 178.800
ช่วงเย็นๆ ทุกคนเริ่มมาเยี่ยมกันเช่นเดิม ทั้งคนในครอบครัว ญาติ และเพื่อนๆ ของน้อง คืนนั้นน้องหลับได้เหมือนปกติโดยที่จะต้องตั้งเตียงนั่งขึ้นมาเล็กน้อย เพราะน้องไม่สามารถนอนราบได้
แสดงความคิดเห็น