27 พ.ย. 2551


วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Thursday 27 November 2008

น้องสาวหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ประมาณตีห้าพยาบาลมาเช็ดตัวน้อง ดังนั้นเราจึงถามว่าจะปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับเรื่องแผนการรักษา พยาบาลที่ห้อง ICU ได้แต่บอกว่าแพทย์ไม่มีแผนการรักษาอะไร นอกจากรอฉีดยาชนิดนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าอยากคุยกับแพทย์ต้องรอไปก่อน พอหกโมงเช้าเราจึงตัดสินใจโทรไปถามที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก ซึ่งเขาโอนให้คุยกับพยาบาลห้องฉุกเฉิน เราจึงปรึกษาในกรณีของน้องว่า กรณีการเต้นหัวใจที่ปกตินี้ ที่นั่นทำการรักษากันอย่างไร พยาบาลบอกว่าแต่ละกรณีไม่เหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องฉีดยา Adenosine ทุกคน และเคยมีคุณแม่ของแพทย์ท่านหนึ่งที่โรงพยาบาลแห่งนั้นที่มีการเต้นหัวใจที่ผิดปกติเหมือนน้อง แพทย์ให้ยาจิบเป็นแก้วๆ และก็สามารถหายได้แบบปกติ

ดังนั้นเราจึงรีบโทรไปบอกน้องชายว่าเราอยากย้ายโรงพยาบาลแล้ว เพราะเราคงทนเห็นน้องสาวฉีดยาชนิดนี้ไปเรื่อยๆ จนไม่ไหวไม่ได้ น้องชายให้เราถามน้องสาวว่าน้องอยากไปที่โรงพยาบาลไหน เพราะว่าโรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไท เรามีแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติอยู่ แต่ไม่เคยมีปรึกษาแพทย์ทางหัวใจที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และอย่างเช่นในกรณีเรื่องที่น้องปัสสาวะเป็นเลือด ถ้าเราไม่ได้โทรไปหาญาติบอกเรื่องออกจากโรงพยาบาล คืนนั้น คงไม่มีใครมาฉีดยาห้ามเลือดให้น้องในคืนนั้น โดยที่น้องจะต้องปัสสาวะเป็นเลือดไปอีกหนึ่งคืนเต็ม

เราเข้าไปถามน้องสาวว่าเราจะย้ายโรงพยาบาลดีมั้ย ซึ่งเราคิดว่าน่าจะย้ายดีกว่า คำแรกที่น้องสาวพูดออกมาคือ “ถามคุณพ่อเรื่องย้ายโรงพยาบาลหรือยัง” เราจึงได้แต่บอกว่าเดี๋ยวเรากำลังจะบอกคุณพ่อ แต่เรามีปรึกษากับน้องชายไปบ้างแล้ว โดยที่เราไม่ได้บอกน้องสาวตรงๆ เพราะกลัวว่าน้องจะเป็นห่วงเรื่องคุณพ่อเข้าพักฟื้นที่โรงพยาบาล พวกเราจึงเก็บเรื่องเงียบไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาพวกเราตั้งใจจะบอกน้อง

น้องสาวเงียบไปอยู่พักใหญ่ และหันมาตอบเราว่า น้องเลือกที่จะไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก เพราะว่าตอนนี้น้องมีปัญหาเรื่องหัวใจ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเรื่องปอด และที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกนั้นมีประวัติเรื่องหัวใจของน้อง เพราะน้องเคยผ่าเยื่อหุ้มหัวใจที่นั่น และอีกทั้งแพทย์ทางด้านหัวใจที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกแห่งนั้นเป็นแพทย์ที่ใส่ใจคนไข้ดี

เราจึงบอกน้องว่าขอเวลาเราออกไปโทรศัพท์สักพัก เราจะจัดการให้ทุกอย่าง หลังจากนั้นเราจึงโทรไปบอกน้องชาย ซึ่งน้องชายทั้งสองคนก็เตรียมพร้อม โดยที่คนหนึ่งจะมาหาพวกเราที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระราม 2 เพื่อตอนที่รีบย้ายน้องออก เราจะต้องมีคนมาคอยเคลียร์เรื่องค่าใช้จ่ายไว้ก่อน และน้องชายอีกคนจะไปรอที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก

หลังจากนั้นเราจึงโทรไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกเพื่อติดต่อรถโรงพยาบาลมารับน้องสาวให้ย้ายไปรับการรักษาที่นั่นแทน เผอิญโชคดีของน้องที่ได้พยาบาลที่ห้องฉุกเฉินดีช่วยเป็นธุระจัดการให้ โดยที่เราระบุแพทย์ไปว่า จะเป็นแพทย์ทางหัวใจที่น้องไปพบประจำ พยาบาลบอกเพียงว่าแพทย์ทางหัวใจยังไม่เข้า แต่จะรีบติดต่อให้ แต่การเคลื่อนย้ายครั้งนี้ จะต้องได้รับการยินยอมจากแพทย์ทางหัวใจว่าจะรับการรักษาเสียก่อน

ไม่นานนักพยาบาลติดต่อกลับมาว่าแพทย์รับเรื่องของน้องเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นพยาบาลจะขอติดต่อกับพยาบาลที่ห้อง ICU ที่โรงพยาบาลย่านพระราม 2 แห่งนี้ ว่าน้องได้รับการรักษาอะไรไปแล้วบ้าง เราจึงให้พยาบาลที่ห้อง ICU ติดต่อกับพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกโดยตรง ซึ่งเราขอให้ทางโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกมารับตัวน้องทันที

ระหว่างที่พยาบาลทั้งสองโรงพยาบาลคุยกัน เราจึงรีบเข้ามาบอกน้องสาวทั้งสองคนและให้น้องสาวอีกคนขึ้นไปจัดเก็บของก่อน และเราอยู่เป็นเพื่อนน้องที่ป่วยอยู่ เรารู้สึกร้อนใจจึงรีบโทรไปตามรถพยาบาลที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกอีกครั้ง แต่พยาบาลที่ห้องฉุกเฉินคนเดิมบอกว่ายังเคลื่อนย้ายไม่ได้ เพราะว่าต้องรอแพทย์ทางโรงพยาบาลย่านพระราม 2 มาเซ็นเอกสารก่อน ณ เวลานั้น เราจึงกลับเข้าไปถามพยาบาลที่ห้อง ICU ว่าทำไมถึงไม่จัดการเรื่องเอกสารให้เรียบร้อยและน้องจะได้ย้ายทันที พยาบาลที่ห้อง ICU บอกว่าต้องรอแพทย์เข้ามาก่อน เราจึงถามว่าแพทย์จะเข้ามาประมาณกี่โมง คำตอบที่ได้คือสิบโมงเช้า แต่ ณ เวลานั้นคือประมาณเจ็ดโมงกว่า เราไม่อยากจะรออีกครึ่งวัน

เราจึงตัดสินใจโทรเข้าไปหาโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกอีกครั้งว่าพอจะมีหนทางที่ไม่ต้องรอหรือไม่ พยาบาลขอเวลาสักครู่ และกลับมาตอบว่าแพทย์ทางหัวใจยอมรับรักษาน้องโดยไม่ต้องรอเอกสารแล้ว ดังนั้นจะให้เคลื่อนย้ายทันที โดยที่พยาบาลจะรีบติดต่อแผนกรถพยาบาลให้ทันที

หลังจากนั้นเราเข้าไปบอกน้องสาวว่า รถพยาบาลกำลังจะเดินทางมาแล้ว เราจะรีบขึ้นไปดูว่าน้องสาวเก็บของเสร็จหรือยัง เราจึงรีบวิ่งขึ้นไปที่ห้อง (ที่ต้องวิ่งเพราะว่าลิฟท์ที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระราม 2 นี้รอนานมากๆ การวิ่งสี่ชั้นกลับทำให้รู้สึกว่าเร็วกว่าลิฟท์) ระหว่างทางที่กำลังวิ่งขึ้นไปนั้น มีเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามา โดยที่เสียงผู้ชายคนหนึ่งบอกว่าแพทย์คีโมไม่อนุญาตให้ย้ายคนไข้ไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก และยืนยันว่าให้ย้ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไทแทน ซึ่งเรายืนยันกลับไปว่าเราจะย้ายไปที่โรงพยาบาลย่านพระรามหก ดังนั้นผู้ชายคนนั้นจึงบอกว่า แพทย์คีโมจากโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกจะขอพูดด้วย เมื่อเรารับขึ้นมา แพทย์คีโมถามว่าน้องไปทำอะไรที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระราม 2 เราจึงบอกแพทย์ไปว่ามาปรึกษาเรื่องชีวจิต แต่กลับเกิดเหตุขึ้น แพทย์คีโมถามว่าน้องทำอะไรไปบ้าง เราจึงเล่าให้ฟังเหตุการณ์เมื่อวานให้ฟัง และท้ายสุดแพทย์คีโมบอกว่าให้ติดต่อย้ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไท เราจึงถามแพทย์คีโมไปว่าทำไม แพทย์คีโมบอกเพียงแต่ว่าก็ญาติของคุณเป็นแพทย์อยู่ที่นั่น

เราจึงตัดสินใจโทรเข้าไปหาแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติโดยเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด และแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติถามว่าน้องมีแพทย์ทางหัวใจที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกหรือยัง เราจึงตอบไปว่ามีแพทย์ทางหัวใจอยู่คนหนึ่งที่น้องไปพบประจำอยู่แล้ว แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติจึงบอกว่าให้รีบย้ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกทันที เพราะว่าถ้าน้องไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไท ก็ต้องมาคอยรื้อเอกสารประวัติกันทั้งหมด เราจึงถามต่อไปว่า ถ้าน้องมีปัญหาเรื่องน้ำท่วมปอดอีก น้องควรรีบกลับไปหาแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติทันทีหรือไม่ แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติบอกว่าถ้าเกิดน้ำท่วมปอดอีก รีบให้แพทย์ทางปอดคนอื่นที่อยู่ที่นั่นเจาะน้ำให้ก็ได้ อย่าเคลื่อนย้ายน้องบ่อยๆ จะดีที่สุด ซึ่งการเจาะน้ำนั้น แพทย์ทางปอดทั่วไปน่าจะทำได้กันอยู่แล้ว

เรารีบโทรกลับไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกว่าให้รีบจัดรถพยาบาลมารับด่วน ซึ่งคนรับสายนั้นทราบเรื่องทันทีและบอกว่าแพทย์คีโมบอกว่าให้ย้ายไปที่แพทย์ทางหัวใจที่นั่นเพื่อรักษา ดังนั้นเขาจึงขอติดต่อกลับ สักครู่พยาบาลโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกโทรมาและแจ้งว่า เจ้าของไข้ของน้อง เป็นแพทย์ทางปอดชื่อดังของโรงพยาบาลแห่งนั้น ซึ่งแพทย์ทางปอดท่านนั้น ก็เป็นคนหนึ่งที่ดูแลน้อง เมื่อครั้งที่น้องรักษาเยื่อหุ้มหัวใจและยังเป็นแพทย์ประจำตัวของคุณแม่ เราฟังๆ ดูก็แปลกใจเล็กๆ เกี่ยวกับแพทย์ที่เป็นเจ้าของไข้ โดยปกติแล้วจะต้องเป็นแพทย์คีโม แต่ครั้งนี้แพทย์คีโมกลับไม่ใช่เจ้าของไข้ แต่ทุกอย่างเรียบร้อยตามที่พวกเราต้องการ ทางโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหกมาถึงก็ประมาณ 8:20 ได้ พวกเราจึงย้ายไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก โดยที่น้องชายรอเคลียร์ค่าใช้จ่ายกับทางโรงพยาบาล และตามไปทีหลัง

หลังจากที่น้องไปถึงโรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามหก หัวใจของน้องเริ่มเต้นผิดปกติอีกครั้ง โดยที่การเต้นของหัวใจนั้นเร็วขึ้นกว่าปกติ พยาบาลพาน้องเข้าห้องฉุกเฉินทันที ซึ่งเรายืนข้างๆ น้องตลอด คอยดูเพราะน้องเริ่มใจคอไม่ดี เรารู้ว่าน้องต้องการกำลังใจให้อยู่ข้างๆ เราจึงไม่ได้ไปไกลจากน้องเลย จนพยาบาลขอให้ออกไป เพราะพยาบาลกำลังจะเปิดเส้นเลือดใหม่ให้น้องและเจาะเลือดเพื่อไปตรวจ เราจึงต้องขอร้องพยาบาลเกี่ยวกับบริเวณที่เจาะไม่ได้ และเราแอบยืนดูอยู่ข้างๆ เตียงน้อง พยาบาลอีกคนเข้ามาแจ้งว่าเดี๋ยวเปิดเส้นเลือดของน้องเสร็จ ก็จะทำการย้ายน้องไปที่ห้อง ICU เพราะแพทย์ทางหัวใจของน้องรออยู่ที่นั่นแล้ว ณ เวลานั้นประมาณสิบโมงเช้าเท่านั้น หัวใจน้องเต้นผิดปกติ ซึ่งทำให้พวกเราพี่น้องรู้สึกว่ายิ่งฉีดยา ความถี่ที่จะต้องฉีดนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะเพิ่งฉีดไปไม่เกินสองชั่วโมงดีเลย หัวใจน้องผิดปกติอีกแล้ว

น้องชายอีกคนที่มารอก่อนล่วงหน้านั้น มายืนเฝ้าด้วยกัน และบอกว่ายังไม่ได้บอกคุณพ่อเรื่องการย้ายครั้งนี้เลย เพราะคุณพ่ออาการไม่ดีเช่นกัน ยังต้องรอผลวินิจฉัยอีกครั้งว่าคุณพ่อเป็นอะไรบ้าง เมื่อพยาบาลทำการเคลื่อนย้ายน้องขึ้นไปที่ห้อง ICU พวกเราจึงรีบตามขึ้นไปทันที

เนื่องจากรอลิฟท์อยู่พักใหญ่ เมื่อขึ้นไปถึงเราเห็นแพทย์ทางหัวใจยืนอ่านฟิล์มน้องอยู่ แพทย์ทางหัวใจคงกำลังศึกษาว่าเหตุการณ์เป็นมาเช่นไร เราจึงไปเล่าให้ฟังว่าหลังจากที่วันนั้นน้องพบแพทย์ทางหัวใจไปแล้ว น้องมีอาการน้ำท่วมปอด โดยที่น้องเจาะปอดข้างซ้ายไปแล้วทั้งหมดสามครั้ง ครั้งแรก 1000 กว่าซีซี ครั้งที่สอง 800 ซีซี และครั้งที่สาม 500 ซีซี แพทย์ทางหัวใจถามว่า เจาะปอดซ้ายหรือ เราจึงตอบไปว่าแพทย์ทางปอดที่เป็นญาติที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไทบอกว่าปอดขวาน้องแฟบไปแล้ว และเมื่อวานเราไปปรึกษาแพทย์ทางเลือก แต่เกิดเหตุการณ์การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติของน้องจากเครื่องวัดที่น้องซื้อไว้พกติดตัว แพทย์ทางหัวใจจึงพยายามสอบถามว่าน้องเริ่มมีอาการผิดปกติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงต้องซื้อเครื่องไว้ติดตัว เราจึงบอกว่าประมาณวันที่ 9 พฤศจิกายน แพทย์ทางหัวใจยืนดูฟิล์มทั้งหมดอีกครั้ง แพทย์ทางหัวใจรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องของน้อง

พวกเรายืนรออยู่หน้าห้อง ICU ของน้อง แต่ยังอยู่ในบริเวณห้อง ICU เราเห็นมีคนเข็นเครื่องเอกซเรย์เข้ามา และตรงไปที่ห้องของน้อง และได้ยินพยาบาลพูดกันว่าหัวใจน้องเต้นสูงผิดปกติแล้ว ระหว่างนั้นน้องชายทั้งสองคนและน้องสาวก็ยืนรอด้วยกับเรา ไม่นานนักน้องชายอีกคนต้องกลับไปทำงานจึงต้องออกไปก่อน สักครู่ใหญ่แพทย์ทางหัวใจออกมาจากห้องของน้อง ถามว่าน้องมียาอะไรมาบ้าง เราจึงตอบไปว่ามียาแก้ไอ Ropect ซึ่งทานบ้างเวลาที่ไอ, ยา Nexium เคลือบกระเพาะ และยาคลายเครียด เพียงแค่นั้นเอง

แพทย์ทางหัวใจออกมายืนอธิบายให้ฟังว่า ตกลงแล้วแพทย์ทางหัวใจจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ให้น้องต้องเจ็บปวดหรือทรมาน แต่จะให้การรักษาแบบที่น้องรู้สึกดีที่สุด แพทย์ถามว่าทำไมถึงไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระราม 2 เราจึงบอกตามตรงไปว่าเราไปปรึกษาแพทย์ทางเลือกหรือชีวจิต แพทย์ทางหัวใจเข้าใจทันที และอธิบายให้ฟังว่า การเจาะปอดนั้นเป็นการช่วยคนไข้ให้หายใจดี แต่การเจาะแต่ละครั้งก็จะสร้างพังผืดที่ปอดนั้น ซึ่งจะกลายเป็นการสร้างห้องย่อยๆในปอดข้างนั้น ดังนั้นในการเจาะครั้งต่อๆมา จะทำให้น้ำออกมาจากเฉพาะจุดที่เข็มจิ้มเข้าไปในปอด ซึ่งหมายถึงจะต้องเจาะไปหลายๆ ที่ถึงจะได้น้ำออกมาทั้งหมด โดยที่การกระทำเช่นนั้นทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นการเจาะแต่ละครั้งก็จะได้น้ำน้อยลงเรื่อยๆ จากนั้นแพทย์ทางหัวใจบอกว่าท่านทำการเปลี่ยนชนิดยาให้น้อง จะเป็นแบบค่อยๆ หยดและอาการของน้องจะดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้ยาประเภทเดิม และเมื่อน้องดีขึ้น แพทย์ทางหัวใจจะเปลี่ยนเป็นยาเม็ดให้ทาน โดยที่ไม่ต้องให้ยาประเภทนี้อีก ฟังๆ ดูแล้วน้องน่าจะชอบพอกับวิธีการรักษาเช่นนี้มากกว่า

เมื่อแพทย์ทางหัวใจออกไปสักพัก แพทย์ทางปอดเข้าไปตรวจดูน้อง และเมื่อแพทย์ทางปอดออกมาจากห้อง ICU ท่านก็ถามพวกเราว่า “ทำไมถึงไปที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระราม 2 เพราะว่ารู้ใช่มั้ยว่าน้องไม่มีทางหายแล้ว ถึงไปที่นั่น” เป็นคำถามที่แปลกมากๆสำหรับเรา และแพทย์ทางปอดจึงสัมทับต่อว่า “น้องไม่มีทางหายนะ” และ “ตอนนี้ก็ให้ดูๆ ไปก่อน และถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ผมแนะนำว่าอย่าไปปั้มหัวใจเขาขึ้นมาเลย เขาจะทรมานเปล่าๆ ปล่อยให้เขาจากไปอย่างสงบจะดีกว่า” เราเริ่มน้ำตาซึมๆ แพทย์ยังพูดต่อว่า “ให้รักษาด้านหัวใจไปก่อน และพอดีขึ้นให้ย้ายกลับไปรักษาปอดต่อที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพญาไท” เรายังคงตั้งสติไม่ค่อยได้ เพราะเสียใจมากๆ และไม่คิดว่าการรักษาของน้องที่น้องพยายามอย่างยากเย็น อดทนทุกๆ เข็มของการรักษาคีโมจะออกมาได้ผลลัพท์เช่นนี้ น้องชายถามแพทย์ทางปอดไปว่า แพทย์ทางปอดคิดว่า น้องจะมีเวลาเหลืออีกนานสักแค่ไหน ซึ่งแพทย์ทางปอดตอบว่า “น่าจะเหลืออีกประมาณหนึ่งเดือน”

เพียงแค่คำพูดแค่นั้นของแพทย์ทางปอดทำให้เราร้องไห้ฟูมฟายทันที เพราะเราไม่เคยคิดว่าน้องจะไม่หาย น้องชายให้เราไปทานข้าวเช้ากับน้องสาวอีกคนและคุณแม่ เราได้แต่ทานไปแล้วร้องไห้ไป แต่จริงๆ แล้วทุกๆ คนต่างก็ร้องกันทั้งนั้น น้องชายจึงบอกว่า เดี๋ยวน้องชายคงต้องไปบอกคุณพ่อเรื่องย้ายโรงพยาบาลมาแล้ว เพราะว่าถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้น และพวกเราไม่ได้บอกคุณพ่อๆ อาจจะไม่ได้เห็นน้องสาวอีก หลังจากทานข้าวที่แทบทานไม่ลงเสร็จ ทุกๆ คนก็ไปหาคุณพ่อ ยกเว้นแต่เราที่ไปห้อง ICU อยู่เป็นเพื่อนน้องสาวต่อ

ขณะนั้นที่เรากลับเข้าไปที่ห้อง ICU ของน้อง พยาบาลทั้งสองคนอยู่ที่ในห้องของน้อง โดยที่มีแพทย์อยู่ในนั้นด้วย เมื่อเราเดินเข้าไป จึงได้ยินข้อความที่แพทย์กล่าวว่า “เนื่องจากหัวใจของน้องยังไม่เต้นช้าลง ดังนั้นผมจะฉีดยา Adenosine เพื่อว่าหัวใจของคุณจะได้เต้นช้าลง” เมื่อน้องได้ยินดังนั้น แน่ๆว่าน้องไม่ยอมให้ฉีดยาตัวนี้อีกแล้ว เพราะว่าน้องทรมานกับยาตัวนี้มาก น้องขอให้แพทย์ทางหัวใจเข้ามาดู แพทย์ที่ยืนพูดอยู่นั้นเกิดอาการโทสะเล็กน้อยจากสีหน้า จากนั้นแพทย์ก็พูดว่า “งั้นก็ตามใจ ถ้าไม่ยอมฉีด ก็รอไม่ไหว แล้วค่อยปั้มหัวใจละกัน” นี่คือคำพูดของแพทย์คนๆ นั้นที่พูดต่อหน้าคนไข้ และแพทย์ก็เดินออกไป ระหว่างที่น้องยืนยันว่าไม่ยอมฉีดอยู่นั้น เราเห็นพยาบาลคนหนึ่งของน้องวิ่งออกไปจากห้องน้อง และเมื่อแพทย์ท่านนี้เดินออกไป พยาบาลอีกคนซึ่งคนนี้เราและน้องจำได้แม่น เพราะเมื่อครั้งที่น้องผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจ พยาบาลคนนี้ดุและไม่ยอมดูดเสมหะให้น้องในครั้งนั้น พยาบาลคนนี้พยายามพูดกับน้องว่า น้องควรจะฟังแพทย์บ้าง เพราะแพทย์คนเมื่อสักครู่เป็นแพทย์ประจำห้อง ICU (ระหว่างนั้นเราพยายามนึกว่าเราเคยเห็นแพทย์คนนี้ที่ไหน เพราะคุ้นหน้ามากๆ สักครู่เดียวก็นึกออกทันที ว่าน้องชายเคยมีปัญหาเรื่องตัวเลขสูงเกินไป จากผลการตรวจของตับ และเผอิญได้ไปพบแพทย์คนนี้ ซึ่งแพทย์กล่าวเกี่ยวกับเรื่องตับของน้องชายแบบผิดๆ ภายหลังน้องชายจึงเปลี่ยนแพทย์ไปพบแพทย์ประจำของคุณพ่อแทน)

น้องสาวยังคงยืนยันกับพยาบาลไปว่า น้องตกลงกับแพทย์ทางหัวใจแล้วว่าจะไม่ใช้ยาตัวนั้นอีก โดยที่แพทย์ทางหัวใจก็รับปากน้องแล้ว และยาที่ให้เข้าเส้นอยู่ ณ ขณะนั้นคือยาที่แพทย์ทางหัวใจรับปากว่าจะทดแทนกันได้ ดังนั้นน้องไม่ยอมฉีดแน่นอน เพียงครู่เดียวพยาบาลคนแรกที่เราเห็นวิ่งออกไปก็กลับเข้ามาบอกว่า แพทย์ทางหัวใจรับทราบอาการของน้องแล้วว่าหัวใจยังไม่ดีขึ้น แพทย์ทางหัวใจให้น้องทานยาเม็ดนี้เพิ่มเข้าไป และให้รอดูอาการอีกครั้ง โดยที่ไม่ต้องฉีดยาตัวนั้น

เมื่อน้องทานยาเข้าไปเรียบร้อย พยาบาลทุกๆ คนก็ทยอยกันออกไป และเหลือเพียงเราและน้องสาว ครั้งนี้น้องโชคดีที่ได้พยาบาลที่ห้อง ICU ดีทุกคน เพราะทั้งใส่ใจและให้ความสนใจมากๆ ไม่มีการแสดงสีหน้าอะไรออกมาเลย ครั้งนี้เราถือวิสาสะนั่งอยู่ในห้องของน้องเลย เพราะเราไม่อยากไปอยู่ไกลน้องเลย โดยที่พยาบาลก็ยินยอมให้เรานั่งอยู่ข้างๆ เตียงน้องตลอด โดยที่เราสวดมนต์ให้น้องตลอดเวลา ไม่ว่าจะมีใครเดินเข้าเดินออกกี่คนก็ตาม เราก็เพียงแต่นั่งและสวดมนต์ให้น้องตลอด

ไม่นานนักญาติๆ ของน้องต่างก็มาเยี่ยมน้องกัน เรียกว่ามากันเกือบครอบครัวใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะคุณอามาทั้งหมดเกือบแปดคน ไม่รวมคุณอาสะใภ้ทั้งหมด แต่เป็นเพราะเราอยู่กับน้องตลอดเลยไม่มีเวลาโทรบอกเพื่อนๆ น้อง เพราะที่ห้อง ICU ไม่ให้ใช้โทรศัพท์ และเพราะสาเหตุนี้ ทำให้วันนี้มีเพื่อนน้อง ที่หลงไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลเอกชนย่านพระรามสองจนได้

น้องเริ่มมีอาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ภายหลังพยาบาลให้น้องทานข้าว ซึ่งน้องทานโจ๊กได้เกือบหมดชามและน้ำส้มคั้นอีกหนึ่งแก้ว หลังจากนั้นพยาบาลให้ยาคลายเครียดน้องทาน โดยที่พยาบาลให้เหตุผลว่าแพทย์ทางหัวใจอยากให้น้องได้พักผ่อนให้เต็มที่ ซึ่งน้องก็ได้งีบอยู่พักใหญ่ในช่วงที่ทุกคนมาเยี่ยมกันพร้อมหน้า ทางด้านคุณพ่อที่น้องชายไปบอกเรื่องราวของน้องสาว ท่านก็ไม่อยากให้น้องกังวล แม้ว่าท่านกำลังเหนื่อยล้า แต่ท่านก็ขอแพทย์ที่ทำการรักษา เพื่อถอดน้ำเกลือออก และเปลี่ยนชุดคนไข้ที่โรงพยาบาลออก จากนั้นจึงมาเยี่ยมน้อง

หลังจากที่น้องหลับและได้ให้ยาตามที่น้องคุยกับแพทย์ทางหัวใจไว้ น้องมีอาการที่ดีขึ้น ทั้งสีหน้าและหลายๆ อย่าง น้องสามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้นและดีขึ้น แต่ก็ไม่ถึงขั้นลงมาเดินเหินได้เอง โดยรวมแล้วน้องดูดีขึ้นมาก แพทย์ทางหัวใจเข้ามาตรวจเยี่ยมน้องอีกครั้ง น้องถามแพทย์ทันทีว่าจะย้ายขึ้นไปพักที่ห้องพักธรรมดาเมื่อไหร่ เพราะน้องไม่อยากอยู่ที่ห้อง ICU นานๆ แพทย์บอกว่าขอดูก่อนอีกหนึ่งคืน เพื่อดูให้มั่นใจว่าน้องย้ายขึ้นไปได้ ส่วนแพทย์ทางปอดที่เข้ามาตรวจเยี่ยมอีกครั้ง ท่านก็พูดอยู่เพียงคำเดียวว่า ถ้าหัวใจดีขึ้นก็กลับไปให้แพทย์ทางปอดที่เป็นญาติที่อีกโรงพยาบาลดูต่อละกัน ให้ย้ายไปนั่นเลย และยังมีพูดต่ออีกว่า “ผมรู้จักแพทย์คนนั้นดี”

น้องสาวและเราได้ยินคำพูดที่แพทย์ทางปอดที่โรงพยาบาลแห่งนี้พูด เราสองคนไม่อยากพูดอะไรออกมามาก เรารู้ว่าแพทย์ทางปอดท่านนี้พูดจาแปลกๆ เหมือนไม่อยากจะรับรักษาน้อง แต่เราไม่อยากตัดกำลังใจน้อง เพราะว่าถ้าน้องจะย้าย เราก็ยินดีไปกับน้องทุกๆ ที่อยู่แล้ว

ในช่วงเย็น ทั้งญาติและเพื่อนๆ ของน้องมาเยี่ยมกันอีกมากมาย จนมีพยาบาลคนหนึ่งในห้อง ICU มาบอกน้องสาวว่า เขาจำน้องสาวได้เมื่อครั้งที่มาผ่าตัดเยื่อหุ้มหัวใจและพักที่นี่ เพราะน้องสาวเป็นคนที่มีญาติและเพื่อนๆ มาเยี่ยมเยอะมากๆ หลังจากที่น้องสาวมีอาการดีขึ้น น้องสาวกล่าวชมแพทย์ทางหัวใจทันที น้องบอกว่าตอนที่เอกซเรย์กันนั้น ทุกๆ คนควรจะต้องออกจากห้องไป โดยที่แพทย์ทางหัวใจให้พยาบาลทุกคนออกไปตามปกติ แต่ตัวแพทย์ทางหัวใจเองนั้นยืนคอยจับตัวน้องให้ตั้งเพื่อที่จะเอกซเรย์ได้ น้องรู้สึกว่าแพทย์ทางหัวใจท่านนี้ใส่ใจและให้ความสำคัญกับคนไข้อย่างมาก

หลังจากที่น้องได้ทานข้าว พักผ่อน ทานยา และให้ยาทางเส้นตามที่แพทย์หัวใจให้แล้ว น้องสาวมีอาการที่ดีขึ้น พูดคุยกับเราได้เหมือนปกติ ซึ่งเราได้แต่นั่งสวดมนต์ให้น้องทั้งวันจนกระทั่งพยาบาลที่ห้อง ICU บอกว่าถึงเวลาปิดห้อง ICU แล้ว เราจึงหันมาบอกน้องสาวว่าพรุ่งนี้เราจะรีบมาแต่เช้า มาอยู่กับน้องเหมือนเดิม เพราะว่าเรากลัวว่าน้องจะเหงาที่จะต้องอยู่คนเดียว

แสดงความคิดเห็น

Filtered HTML

  • To post pieces of code, surround them with <code>...</code> tags. For PHP code, you can use <?php ... ?>, which will also colour it based on syntax.
  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • You may quote other posts using [quote] tags.
  • Allowed HTML tags: <a> <em> <strong> <cite> <blockquote> <code> <ul> <ol> <li> <dl> <dt> <dd>
  • Lines and paragraphs break automatically.

Comment Input

  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • Allowed HTML tags: <a> <em> <strong> <cite> <code> <ul> <ol> <li> <dl> <dt> <dd> <p> <img> <center> <font> <u> <br/>
  • Lines and paragraphs break automatically.

Plain text

  • No HTML tags allowed.
  • Web page addresses and e-mail addresses turn into links automatically.
  • Lines and paragraphs break automatically.