1 ก.ย. 2551
วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551
Monday 1 September 2008
เช้านี้น้องไม่ต้องไปไหน น้องจึงทำกิจวัตรปกติ นั่นก็คือตื่นแต่หกโมงกว่าขึ้นมาใส่บาตรที่น้องทำทุกเช้าไม่ว่าจะต้องไปหาแพทย์หรือไม่ หลังจากนั้นน้องก็จะเล่นชี่กง หรือนั่งสมาธิในช่วงเช้า และน้องก็จะไปทานข้าวเช้า พักผ่อนสักพัก ซึ่งวันนั้นเรานั่งคุยกันถึงสายๆ น้องจึงได้อาบน้ำในช่วงประมาณเที่ยงกว่าแล้ว เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ซึ่งขณะนั้นเราก็นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งรอน้อง น้องก็ร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง พูดแต่ว่า “เค้าจะไม่รักษาแล้ว ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นเลย” ครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้งแต่น้องเป็นโรคร้ายที่น้องเสียใจมากขนาดหมดกำลังใจขนาดนี้ เราจึงค่อยๆ เรียบเรียงถามว่าน้องเป็นอะไร ทำไมก่อนเข้าห้องน้ำยังหัวเราะคุยกับเรา แต่จู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมาแบบนี้ น้องจึงบอกความจริงกับเราว่า น้องคลำก้อนเนื้อได้อีกสองก้อนที่หน้าอก แล้วน้องก็ร้องไห้อยู่พักใหญ่ น้องได้แต่รำพันว่า ทำไมน้องไม่หายสักที ในเมื่อปู่และอาที่เป็นมะเร็งหลังน้องสาวต่างก็หายดีกันหมดแล้ว ทำไมเหลือแต่เขาเพียงคนเดียวที่รักษาแล้วไม่ได้มีอะไรคืบหน้า และยิ่งแย่ลงไปทุกวัน เราจึงต้องอธิบายให้น้องฟังว่าเขาทั้งสองเป็นในระยะต้นๆ ซึ่งไม่ได้ลุกลาม การรักษาของปู่และอาจึงง่ายกว่า แต่ยังไงๆ ทุกคนในครอบครัวก็จะเป็นกำลังใจให้น้องเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะสนับสนุนน้องเป็นกำลังใจให้น้องในการรักษา และเราไม่อยากให้น้องท้อ เวลาที่เกิดปัญหาหรืออุปสรรคขึ้นมา เราอยากให้น้องมั่นคง
หลังจากนั้นเราก็โทรไปแจ้งพยาบาลที่แผนกเคมีบำบัดเช่นเดิม พยาบาลก็ได้แต่บอกว่าจะแจ้งแพทย์ให้ และพยาบาลได้ติดต่อกลับมาประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง นั่นก็คือเกือบบ่ายแล้ว พยาบาลแจ้งว่าให้เข้าไปที่โรงพยาบาลทำการตรวจแมมโมแกรม(mammogram)และอัลตร้าซาวนด์(ultrasound) โดยที่หลังจากได้ผลให้แล้วให้นำไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐภายในบ่ายสามของวันนี้ แล้วแพทย์จะแจ้งต่อว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป
พวกเราก็รีบออกจากบ้านทันที เพราะตอนนั้นก็เกือบบ่ายแล้ว ถ้ารีบให้เร็วสักนิด น่าจะทำเวลาได้ทันครบทุกอย่าง เมื่อไปถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น พยาบาลก็แจ้งให้ไปที่ห้องเอกซเรย์ต่อ และครั้งนี้อีกเช่นกันที่เรารู้ทันทีว่าน้องเครียดเอามากๆ เพราะว่าน้องต้องการที่จะรีบเอาผลไป เพื่อว่าการรักษาจะได้เร็วขึ้น แต่แล้วก็เป็นเคราะห์กรรมของน้องที่จะต้องเครียดมากขึ้น เมื่อที่ห้องอัลตราซาวนด์บอกว่าให้รอก่อน รอไป รอมา กว่าจะได้เข้าก็เกินบ่ายครึ่งแล้ว ซึ่งเราก็รีบไปขอที่หน้าห้องบอกว่า ต้องรีบนำผลตรวจนี้ไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อได้เข้าตรวจแล้ว ก็ต้องรอผลการอ่านอีก แต่ทีนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพราะรอจนอีกสิบนาทีผลก็ยังไม่ออก จนพวกเราต้องไปเร่งแล้ว เร่งอีก จนน้องเครียดมากๆ เราก็พยายามปลอบน้อง ด้วยความโชคดีที่พี่ที่เป็นหัวหน้าห้องเอกซเรย์เขาเข้าใจ จึงรีบเร่งผลออกมาให้ ซึ่งนั่นก็คือเวลาบ่ายสามตรง
จากนั้นพวกเราก็ต้องรีบเอาผลไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลรัฐ เราไม่อยากให้น้องเครียดมากไปกว่านี้ เราจึงบอกให้น้องรอบนรถ และเราจะวิ่งเอาเข้าไปให้เอง เมื่อไปถึงที่หน้าห้องแพทย์ ก็รออยู่พักใหญ่ และเมื่อแพทย์ออกมา แพทย์ก็รับผลของการอ่านไปอ่าน โดยไม่ได้ดูฟิล์มอีกเช่นเคย และแพทย์ก็หันมาบอก ไว้ไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลเอกชนพรุ่งนี้อีกครั้ง นี่คือคำตอบที่ทำให้น้องเครียดซะมากมาย แต่ดูแพทย์จะไม่ได้ใส่ใจ แม้กระทั่งถามว่าถึงความรู้สึกของน้องเลย
เมื่อเราวิ่งออกมาจากโรงพยาบาล น้องก็ถามว่าแพทย์จะเพิ่มเติมอะไรหรือไม่ เราก็เลยบอกน้องไปว่าแพทย์ให้ไปพบพรุ่งนี้อีกที ดังนั้นเรา น้องและคุณแม่ที่รีบทำตามที่แพทย์สั่งแทบแย่ ก็ไม่ได้เห็นว่าแพทย์จะใส่ใจอะไรเลย
หลังจากที่กลับถึงบ้านแล้ว เราก็เกิดอาการสงสัยว่า PET Scan น่าจะบอกได้ว่าก้อนเนื้อที่เพิ่งขึ้นมานี้เพิ่งเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นมานานแล้ว เมื่อไปอ่านผลสแกนก็เลยได้แต่ช๊อคไป เพราะที่ผลอ่านนั้นมีเขียนไว้อยู่แล้วว่า ให้ตรวจแมมโมแกรมเพิ่ม เพราะมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ ซึ่งผลอ่านนั้นก็ออกมาวันที่ 18 สิงหาคม เป็นระยะเวลาครึ่งเดือนมาได้แล้ว ถ้าแพทย์ใส่ใจที่จะอ่าน แพทย์คงให้น้องทำตรวจแมมโมแกรมตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่ทำให้น้องต้องเครียดที่จะต้องเจอเองแบบนี้
แสดงความคิดเห็น