ผลลัพท์จากการการใช้ทฤษฎีเอนไซม์
ดร.เคลลี่กลับมาเริ่มทานเอนไซม์ใหม่ แต่ในช่วงสองสามวันแรกที่ดร.เคลลี่เลิกทานเอนไซม์ เขารู้สึกสบายตัวดี แต่พอวันถัดมาดร.เคลลี่เริ่มมีอาการจับไข้ขึ้นมา เหนื่อยล้า ไม่มีแรง เซื่องซึม เหงื่อออก และไม่นานนักดร.เคลลี่เริ่มอาเจียนอีกครั้ง จากเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ดร.เคลลี่วิตก เพราะว่าเขามั่นใจว่าเขาจะต้องพึ่งพาเอนไซม์ถึงจะทำให้เขาชนะโรคร้ายได้ แต่เขากลับไม่สามารถทานเอนไซม์ได้เลย เพราะทำให้เขาต้องอาเจียนออกมาตลอด แต่เพราะว่าดร.เคลลี่สามารถคลำเนื้อร้ายของเขาได้ เมื่อเขาหยุดทานเอนไซม์และคลำดูแล้วพบว่าก้อนเนื้อร้ายใหญ่ขึ้น จนทำให้เขาตั้งคำถามกับตัวเองว่า การที่เขาทานเอนไซม์ เนื้อร้ายนั้นเล็กลง และการที่เล็กลงน่าจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้น แต่ตัวเขากลับกลายเป็นรู้สึกไม่สบาย ซึ่งสร้างความฉงนให้เขาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามดร.เคลลี่อยากกลับไปทานเอนไซม์เพื่อต่อสู้กับเนื้อร้าย เขาจึงต้องพยายามค้นหาคำตอบให้ได้
คำถามที่ทำให้ดร.เคลลี่ครุ่นคิดอยู่นานจนในที่สุดเขาก็สามารถสรุปออกมาแบบเปรียบเทียบกับการรับเคมีบำบัด เพราะผู้ป่วยที่รับเคมีบำบัดมักจะอาเจียนออกมา ซึ่งดร.เคลลี่คิดว่าการที่ผู้ป่วยที่รับการรักษาแบบเคมีบำบัดนั้นอาเจียนออกมาด้วยเนื่องจากสองสาเหตุ อย่างแรกคือเคมีบำบัดนั้นคือยาพิษ และอย่างที่สองเนื้อร้ายของผู้ป่วยนั้นถูกเคมีบำบัดทำลายจนกลายเป็นสารพิษในร่างกาย หลักการของการรักษาแบเคมีบำบัดนั้นก็คือการที่จะต้องฆ่ามะเร็งก่อนที่เคมีบำบัดและเนื้อร้ายจะทำร้ายฆ่าผู้ป่วยเสียก่อน เนื่องจากดร.เคลลี่ไม่ได้รับการรักษาแบบเคมีบำบัด เขาจึงคิดออกมาว่าได้ว่า การที่เขาทานเอนไซม์และทำให้เนื้อร้ายถูกทำลายนั้นเป็นการทำให้เกิดของเสียของเนื้อร้ายที่ตายแล้วเกิดเป็นสารพิษขึ้นในร่างกายของเขา จนทำให้ดร.เคลลี่มีอาการเหมือนเจ็บป่วย เหมือนเป็นไข้ และนี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ดร.เคลลี่ต้องหาวิธีกำจัดของเสียในร่างกายของเขา
ดร.เคลลี่ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับการล้างพิษออกจากร่างกาย เพราะว่าเขาต้องการจะใช้เอนไซม์ทำลายเนื้อร้ายของเขา ในที่สุดดร.เคลลี่ค้นพบบทความ “วิธีการสวนทวารด้วยกาแฟ” ของเมอร์กในปี 1890 ถึงปี 1977 นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจที่จะลองวิธีการสวนด้วยกาแฟ ครั้งแรกที่เขาอ่านเรื่องการสวนกาแฟนั้น เขารู้สึกว่าบทความนี้น่าเชื่อถือมากและมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งดร.เคลลี่เชื่อว่าวิธีนี้น่าจะเป็นวิธีแก้ปัญหาเรื่องการกำจัดเนื้อร้ายของเขา โดยที่ข้อความของเมอร์กมีกล่าวไว้ว่า “เมื่อใส่กาแฟเข้าไปที่ลำไส้โดยตรง คาเฟอีนจะกระตุ้นให้ตับปล่อยของเสียออกมาจากร่างกาย” ดร.เคลลี่คิดว่าถ้าพิษต่างๆ นั้นถูกกระตุ้นให้ออกจากร่างกายออกไปน่าจะเป็นเรื่องที่น่าพิจารณานำมาใช้มากที่สุด
ในศตวรรษที่ 20 ยังมีเอกสารอีกมากมายที่แนะนำให้ใช้วิธีการสวนกาแฟ โดยเฉพาะในปี 1920 ถึง 1930 มีการนำวิธีการสวนกาแฟมาใช้อย่างแพร่หลายในสหรัฐ และยังนำไปใช้ในการบำบัดในหลายโรคอีกด้วย จึงมีบันทึกจากผู้ป่วยมากมายที่ได้ผ่านการใช้วิธีการสวนด้วยกาแฟอย่างกว้างขวาง การสวนด้วยกาแฟนั้นมีการถูกแนะนำมาให้ใช้โดยผู้ป่วยที่มีปัญหาในร่างกาย ซึ่งแต่ละคนก็มีอาการป่วยที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นแนะนำให้ใช้เพราะว่าผู้ป่วยเหล่านั้นรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ใช้วิธีการสวนกาแฟ
ดร.เคลลี่พบเอกสารชุดหนึ่งกล่าวไว้ว่า “โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งนั้น เมื่อเนื้อร้ายก้อนใหญ่ในร่างกายกำลังถูกทำลาย ร่างกายมีการซ่อมแซมและนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อร้ายถูกทำลาย ดังนั้นจะเกิดสารพิษมากมาย โดยเฉพาะที่ตับจะมีสารพิษเหล่านั้น การสวนกาแฟจะเป็นการล้างพิษสารพิษที่เกาะอยู่ที่ตับเหล่านั้น และที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือมีการบันทึกการใช้ของโรงพยาบาล (วันที่ 15 สิงหาคม 1999 หน้า 128) ว่ามีการนำวิธีการสวนด้วยกาแฟมาใช้เป็นเรื่องปกติ และยังมีสรุปข้อมูลให้ทราบถึงการทำงานของวิธีการสวนด้วยกาแฟกับตับ
ครั้งแรกที่ดร.เคลลี่เริ่มใช้วิธีการสวนด้วยกาแฟนั้น คือหลังจากที่เขาได้ทานเอนไซม์ไปได้ห้าวัน และเมื่อเขาเริ่มมีอาการรู้สึกไม่สบายอีกครั้ง ดร.เคลลี่จึงไปซื้อกาแฟบดที่ตลาดและถุงสวนที่ร้านขายยา (ต่อมาเขาถึงพบว่ามีเหยือกใช้สวนจากร้านอื่น) เมื่อดร.เคลลี่ปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ 104 องศาฟาเรนไฮต์ และมีอาการอาเจียน เขาจึงเริ่มลองใช้การสวนกาแฟเป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาสวนกาแฟไปแล้ว เพียงสามสิบนาทีให้หลังจากนั้นอาการไข้ลดจาก 104 องศาฟาเรนไฮต์ เหลือเพียง 99 องศาฟาเรนไฮต์ เขาไม่รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวอีก และไม่มีอาการอยากอาเจียนอีกต่อไป หลังจากวันนั้นดร.เคลลี่ก็เริ่มทำการสวนกาแฟวันละครั้งหรือมากกว่านั้น และดร.เคลลี่ได้ทำการสวนกาแฟตลอดชีวิตของเขา
แสดงความคิดเห็น