ทฤษฎีเอนไซม์ของดร.เบียร์ด
ไม่นานนักดร.เคลลี่กลับบ้านไปและเริ่มค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องมะเร็ง เขาอ่านงานของชาวสก็อตคนหนึ่งที่ชื่อ ดร.จอห์น เบียร์ด (Dr. John Beard) ซึ่งเป็นงานเกี่ยวกับเอนไซม์ในร่างกายของคนเราที่คอยต่อต้านและต่อสู้กับมะเร็ง
ในปี 1911 ดร.เบียร์ดนั้นได้ตีพิมพ์งานเกี่ยวกับการรักษามะเร็งด้วยเอนไซม์ แต่หลังจากที่ดร.เบียร์ดจากโลกนี้ไปในปี 1923 ทฤษฎีของเขาก็ถูกโลกลืมหายไป โดยเฉพาะหลังจากเมื่อแมรี่ คิวรี่ (Marie Curie) มีผลงานก้องโลกเรื่องการใช้สารกัมมัตภาพรังสีใช้รักษาโรคมะเร็งทุกชนิดได้อย่างปลอดภัยที่สุด
ดร.เบียร์ดเชื่อในการฉีดเอนไซม์เข้าไปในร่างกาย เอนไซม์นั้นจะไม่ถูกกรดในกระเพาะทำลาย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นักศึกษาแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาจากสหรัฐถูกสอนมาว่า เอนไซม์ของตับอ่อนชนิดฉีดเท่านั้นจึงจะทำงานช่วยย่อยอาหารได้อย่างดี ถ้าใช้วิธีการทาน เอนไซม์จะถูกทำลายในกระเพาะ และจะไม่ถูกดูดซึมกลับเป็นรูปแบบเอนไซม์ปกติ
แรกๆ ดร.เบียร์ดนั้นไม่สนใจเรื่องโรคมะเร็ง เขาค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องตัวอ่อน สนใจในเชิงเปรียบเทียบเรื่องรกโดยเฉพาะ เรื่องรกนั้นก็คือหลังจากการปฏิสนธิเกิดขึ้น ตัวอ่อนจะสร้างอวัยวะที่เรียกว่า “รก” งอกเบียดเซาะลึกเข้าไปในเนื้อเยื่อมดลูกของแม่ เพื่อให้รกเกาะติดกับมดลูกอย่างมั่นคง เวลาตัวอ่อนเจริญเติบโตเป็นอวัยวะของตัวอ่อนที่ใช้ติดต่อกับเลือดของแม่ นำอาหารมาให้ตัวอ่อนและนำของเสียจากตัวอ่อนออกไปทิ้งผ่านเลือดของแม่
ดร.เบียร์ดสังเกตเห็นว่า สายพันธุ์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนับสิบชนิดที่เขาได้ศึกษามานั้น รกจะเติบโตงอกทะลวงเข้าไปในเนื้อเยื่อมดลูกของแม่อย่างไม่หยุดยั้ง และเมื่อถึงเวลาหนึ่งของแต่ละสายพันธุ์ โดยที่ใช้ระยะเวลาไม่เท่ากัน รกจะหยุดการรุกรานเนื้อเยื่อมดลูกของแม่อย่างกะทันหัน ตัวอย่างเช่น หนูใช้เวลา 10 วัน และมนุษย์ใช้เวลา 56 วัน ดร.เบียร์ดให้ความสนใจเรื่องนี้เป็นคนแรก
ดร.เบียร์ดจัด “รก” เป็นเนื้องอกชนิดหนึ่ง เพราะคุณสมบัติของรกคล้ายคลึงกับมะเร็ง รกเป็นเนื้อเยื่อที่เติบโตงอกเข้าไปที่มดลูกของแม่เหมือนกัน รกจะเจริญเติบโตจนเมื่อถึงเวลาก็จะหยุดโต แต่บางครั้งรกที่ไม่ยอมหยุดการเจริญเติบโต แม่ก็จะเกิดโรงมะเร็งร้ายแรง ที่เคยเป็นโรคมะเร็งที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งของผู้หญิงมาก่อน เพราะใครที่เป็นโรคนี้แล้วจะต้องตายทุกราย แต่โชคดีที่ภายหลังมีการรักษาด้วยเคมีบำบัดที่ชื่อว่า Metrotrexate ซึ่งมีโอกาสหายได้ถึง 80-90%
ดร. เบียร์ดคิดว่าเขาควรจะค้นคว้าหาให้ได้ว่าทำไมเมื่อรกครบ 56 วันจึงหยุดการเจริญเติบโต เขาคิดว่าถ้าเขาหาเหตุผลได้ ก็น่าจะมีโอกาสพบวิธีการที่จะหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ดร.เบียร์ดตัดสินใจทำวิจัยเรื่องรก โดยที่เขาศึกษาจากสัตว์หลายชนิด และค้นคว้าเกี่ยวกับการเติบโตของเนื้อเยื่อ ระบบอวัยวะ เพื่อค้นหาคำตอบเกี่ยวกับตัวอ่อนและรก หลังจากค้นคว้ามาถึงสิบปีถึงได้พบกับความจริงที่เหมือนกันอย่างหนึ่งคือ วันที่รกหยุดการเจริญเติบโตคือวันที่ตับอ่อนของตัวอ่อนเริ่มทำงานนั่นเอง
จากการค้นคว้าของดร.เบียร์ดนี้พบว่าช่วงแรกในการที่ตัวอ่อนไม่ต้องการตับอ่อนเพราะว่าตัวอ่อนได้รับอาหารจากเลือดของแม่จึงไม่ต้องการเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร และเอนไซม์สร้างออกมาเพื่อจุดประสงค์เดียวนั่นก็คือเพื่อหยุดรกไม่ให้เจริญเติบโตอีก และถ้าเอนไซม์ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของรกได้ ก็คือการหยุดการเจริญเติบโตของเนื้องอกได้เหมือนกัน
ในปี 1930 ถึง ปี 1940 กว่ามีข้อมูลเกี่ยวกับผลการทดลองการศึกษาทั้งจากมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายออกมา ข้อมูลเหล่านี้ยืนยันว่าถ้ากินเอนไซม์ตับอ่อนชนิดฉีดทางปาก ลำไส้สามารถดูดซึมได้โดยไม่ถูกทำลายและยังสามารถออกฤทธิ์ทางสรีรวิทยาได้หลายอย่าง
หลักการพิสูจน์ทฤษฎีนี้ทำได้โดยวิธีง่ายๆ คือ การเก็บปัสสาวะภายใน 24 ชั่วโมงส่งตรวจ เริ่มด้วยการให้คนไข้กินเอนไซม์ตับอ่อนตามขนาดที่กะไว้แล้ว สั่งให้ผู้ป่วยเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง แล้วส่งไปตรวจเพื่อหาว่า เอนไซม์ถูกขับออกทางปัสสาวะไปเท่าไหร่ ถ้าเอนไซม์ถูกดูดซึมทางลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ก็จะถูกขับออกทางปัสสาวะ แต่ถ้าเอนไซม์ไม่ถูกดูดซึมก็จะถูกขับออกทางอุจจาระ
ในปี 1940 เดือนพฤศจิกายน ดร.เบียร์ดนำเสนอเรื่องเอนไซม์ของตับอ่อนคือสิ่งที่ต่อต้านโรคมะเร็งให้กับสมาคมวิทยาศาสตร์ของเอดินเบอร์ก แต่กลับกลายเป็นว่าที่ประชุมมีแต่คนหัวเราะเยาะ ยกเว้นศัลยแพทย์ทหารคนหนึ่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง หลังจากการบรรยายจบ ศัลยแพทย์ทหารก็เดินเข้าไปหาดร.เบียร์ดบอกว่า “ผมอยากจะลองใช้วิธีการรักษาของคุณดู” จากนั้นทั้งดร.เบียร์ดและศัลยแพทย์จึงร่วมกันพัฒนาเอนไซม์ตับอ่อนแบบใช้ฉีดขึ้นมา
ผู้ป่วยรายแรกที่มีการบันทึกการรักษาในตำราแพทย์ ผู้ป่วยเป็นชายที่เป็นมะเร็งที่หลอดอาหารชนิดแพร่กระจาย ซึ่งเป็นการรักษาได้ยาก โดยที่ชายคนนี้มีมะเร็งก้อนใหญ่อยู่ในลำคอ ศัลยแพทย์ทหารฉีดเอนไซม์ให้เป็นเวลาสองอาทิตย์ หลังจากนั้นผู้ป่วยอาเจียนเอาก้อนมะเร็งออกมาจากคอ เนื้อมะเร็งที่อาเจียนออกมานั้นเป็นเนื้อที่ตายแล้วทั้งก้อน ซึ่งเป็นผู้ป่วยรายแรกที่หายได้ด้วยการใช้เอนไซม์ตับอ่อนแบบฉีด โดยข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาตีพิมพ์ในแม๊กกาซีน “British Medical Journal” เรื่องนี้ถูกมีกระแสโต้แย้งอีกมากมาย หลายคนโต้เถียงว่า คนไข้ไม่ได้เป็นมะเร็ง หรือไม่ก็โต้เถียงว่าเป็นการทดลองที่เชื่อไม่ได้
แสดงความคิดเห็น