ประวัตินายแพทย์แมกซ์ เกอร์สัน (บิดาทางนักธรรมชาติบำบัด)
แมกซ์ เกอร์สัน (Gerson Max, 1881 – 1959) เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว เกิดราวปี ค.ศ. 1881 ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้เมืองมิวนิค นครที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของเยอรมัน เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่ เขามีความใฝ่ฝันอยากจะเรียนหมอ จึงได้ไปสมัครสอบเข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยเบรสเลาในประเทศเยอรมัน เขาสามารถศึกษาเล่าเรียนจนสำเร็จ และได้รับปริญญาแพทย์บัณฑิตในปี ค.ศ. 1906 ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุ 25 ปี
ต่อมาเขาได้เข้าทำงานในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมิวนิคในตำแหน่งแพทย์ด้านโรคปอด เขาทำงานอยู่ในโรงพยาบาลนี้เป็นเวลากว่า 17 ปี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าแผนกโรคปอด ในราวปี ค.ศ. 1922 ซึ่งขณะนั้นเขามีอายุได้เพียง 42 ปีเท่านั้น
ในปีค.ศ. 1929 แมกซ์ เกอร์สันได้รับการเชิดชูเกียรติจากแพทย์สภาแห่งเยอรมัน ให้เป็นนายแพทย์ดีเด่นในฐานะที่เขาเป็นแพทย์คนแรกของโลก ที่สามารถรักษาวัณโรคผิวหนังได้เป็นผลสำเร็จอย่างงดงาม
เขาประกาศว่า วัณโรคเป็นโรคที่ทำร้ายชีวิตของมนุษย์ให้ตายได้ ไม่ว่าจะเป็นในบริเวณใดของร่างกาย แต่เขาก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยการให้อาหารเป็นยา (Diets) และให้คนป่วยปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดในการควบคุมอาหาร
ปีต่อมาประเทศเยอรมันมีผู้นำที่ชื่อฮิตเลอร์ ซึ่งได้สถาปนากตนเองเป็นผู้นำประเทศ และขัยไล่ชาวยิวให้ออกไปนอกประเทศ หรือไม่ก็ฆ่าให้ตาย ด้วยเหตุนี้แมกซ์ เกอร์สันจึงอยู่ในประเทศเยอรมันต่อไปไม่ได้ เพราะเขาเป็นชาวยิว และครอบครัวญาติพี่น้องของเขาหลายสิบคนถูกฆ่าตายอย่างทารุณจนหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงพาภรรยาและบุตรสาวหนีออกจากเยอรมันโดยทางรถไฟจากเมืองมิวนิค ข้ามไปอยู่ในประเทศออสเตรีย
ในประเทศออสเตรียแมกซ์ เกอร์สันได้พยายามรักษาคนไข้ที่เป็นมะเร็งหลายสิบคน แต่ปรากฏว่าคนไข้หายเพียงสองสามรายเท่านั้น เพราะคนไข้ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินอาหารให้ถูกต้อง
ต่อมาเขาได้พาภรรยาและลูกลงเรือเดินทางทะเลข้ามฟากไปอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส แมกซ์ เกอร์สันก็ได้พยายามให้การรักษาคนไข้โรคมะเร็งหลายสิบรายเช่นเดียวกัน ซึ่งประสบความสำเร็จพอสมควร คนไข้หลายสิบรายหายป่วยจากการเป็นมะเร็งอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ถูกทางการของประเทศฝรั่งเศสเฝ้ามอง ดังนั้นเขาจึงได้ย้ายไปอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี ค.ศ. 1933 เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาใหม่ๆ เขาเลือกที่จะอยู่ในนครนิวยอร์ค เพราะที่นั่นเป็นดินแดนของคนหลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ต่อมาในราวปี ค.ศ. 1934 แมกซ์ เกอร์สันซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย ได้เข้าไปนั่งเรียนภาษาอังกฤษกับเด็กนักเรียนชั้นประถม จนสามารถอ่านออกเขียนได้ และสามารถติดต่อสื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนอื่นได้เป็นอย่างดี
แมกซ์ เกอร์สันต้องการจะเป็นนายแพทย์ตามที่เขาได้ร่ำเรียนมา เมื่อเขาอ่านและพูดภาษาอังกฤษได้แล้ว เขาจึงไปสมัครสอบขอรับใบประกอบโรคศิลป์วิชาชีพแพทย์ จากแพทย์สภาของสหรัฐอเมริกา ในขณะนั้น ซึ่งเขาก็สามารถสอบแพทย์และได้รับสิทธิในการประกอบโรคศิลป์ ในราวปี ค.ศ. 1938 เป็นต้นมา
ด้วยเหตุที่แมกซ์ เกอร์สันมีความเชี่ยวชาญและเป็นหนึ่งทางด้านการรักษาวัณโรคปอด ด้วยการให้คนไข้กินอาหารธรรมชาติ ซึ่งคนไข้ก็หายจากอาการป่วยทุกราย เขาจึงได้นำแนวคิดทางธรรมชาติบำบัดเป็นยา มารักษาคนไข้โรคปอดและมะเร็งในสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1940 แมกซ์ เกอร์สันจึงได้รับการขนานนามใหม่จากแพทย์สภาว่า “แพทย์นอกคอก” (Conventional Medicine) เพราะเขาไม่รักษาคนไข้ตามวิธีของแพทย์แผนปัจจุบัน ที่นิยมใช้การผ่าตัด ฉายแสง หรือฉีดคีโมเหมือนแพทย์โดยทั่วไป
ต่อมาในราวปี ค.ศ. 1958 เขาจึงถูกยึดใบประกอบโรคศิลป์จากแพทย์สภาอเมริกันเป็นเวลา 2 ปี เพราะเขารักษาคนไข้ด้วยธรรมชาติบำบัด ที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันไม่ให้การรับรอง อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นเล็กน้อย พวกคนไข้ที่เคยได้รับการรักษาจากแมกซ์ เกอร์สัน จนหายเป็นปรกติได้ร่วมกันลงชื่อและร้องเรียนต่อกรรมาธิการสภาคองเกรส เพื่อให้ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางช่วยเหลือแมกซ์ เกอร์สัน ในด้านการให้ทุนวิจัย เพื่อให้ศึกษาค้นคว้าการบำบัดมะเร็งโดยวิธีธรรมชาติ แต่จนแล้วจนรอด เรื่องที่ส่งไปก็เงียบไปอย่างไร้ร่องรอยจนถึงทุกวันนี้
จากหลักฐานที่ปรากฏ ในปี ค.ศ. 1947 แมกซ์ เกอร์สันได้รักษาคนไข้มะเร็งตามระเบียบปฏิบัติทางการแพทย์แผนปัจจุบัน การจดบันทึกการรักษา การฉายเอกซเรย์ การผ่าชิ้นเนื้อเพื่อตรวจสอบ และการรายงานผลการรักษาคนไข้มะเร็ง 50 ราย ที่หายป่วยจากมะเร็งอย่างเด็ดขาด ไว้ในหนังสือชื่อ “A Cancer Therapy : the result of fifty cases”
ปัจจุบันแมกซ์ เกอร์สัน ถึงแก่กรรมแล้วอย่างสงบด้วยวัย 78 ปี เขาได้สร้างผลงานชิ้นเอกไว้มากมาย ซึ่งมีผลงานที่เขาสร้างไว้ ได้รับการสานต่อจากลูกสาวเพียงคนเดียวของเขา (ชาร์ล็อต เกอร์สัน) โดยได้ก่อตั้งสถาบันที่มีชื่อว่าธรรมชาติบำบัด (Gerson Institute) อยู่ที่ประเทศเม็กซิโก และยังคงดำเนินการบำบัดรักษาผู้เจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อไปในประเทศสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งถึงทุกวันนี้
แสดงความคิดเห็น